Home         Book Reviews         Business Trips        Technical Visits        About Me
Wut Sookcharoen
Book Reviews by  รศ. ดร. วุฒิ สุขเจริญ
 
วุฒิ สุขเจริญ The Resiliency Advantage: Master Change, Thrive under Pressure, and Bounce Back From Setbacks
Author:  Al Siebert
My Rating: วุฒิ สุขเจริญ
 
 
       ในวันที่มีการใช้คำ “Resilience” กันอย่างแพร่หลายในแง่มุมของการบริหารธุรกิจ เราจะพบการให้นิยามของคำ ๆ นี้มากมาย ใน Facebook, Youtube, หรือในการบรรยายของวิทยากรท่าน ๆ ต่าง ๆ และเมื่อผมรับงานบรรยายที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับคำ ๆ นี้ ก็เลยมีคำถามในใจว่า จริง ๆ แล้วความหมายที่แท้จริงของคำว่า “Resilience” คืออะไร วิธีการที่ผมใช้ในการหาความหมายที่แท้จริงคำที่สนใจคือ ต้องไปหาว่าใครเป็นคนนิยามหรือใช้คำนี้เป็นคนแรก หรือที่มาที่ไปของคำ ๆ นี้เป็นอย่างไร และเป็นวิธีที่ผมคิดว่าเหมาะสมในการหาความหมายที่แท้จริงของคำ (ไว้ว่าง ๆ จะมาเล่าความหมายของคำว่า Unfair advantage และ Sustainability ฟังแล้วจะรู้ว่าคนเข้าใจความหมายที่แท้จริงของสองคำนี้น้อยมาก)
     กลับมาที่คำว่า “Resilience” จากการสืบค้นของผมพบว่า คำ ๆ นี้ถูกใช้ครั้งแรก ๆ ในวงการแพทย์ โดยผมพยายามไปหาหนังสือเล่มแรกหรือเล่มแรก ๆ ที่พูดเกี่ยวกับคำ ๆ นี้ พบหนังสือเล่มหนึ่งชื่อ The Resiliency Advantage: Master Change, Thrive Under Pressure, and Bounce Back From Setbacks เป็นหนังสือเก่าตั้งแต่ปี 2005 เขียนโดย Al Siebert, PhD ซึ่งเป็นผู้อำนวยการของ The Resiliency Center ก็เลยคิดว่าหนังสือเล่มนี้น่าจะช่วยให้เข้าใจคำว่า “Resilience” ได้ดีขึ้น
   
     ก่อนที่จะสรุปย่อ ๆ เกี่ยวกับหนังสือเล่มนี้ให้ฟัง ผมต้องขอใช้คำว่า “Resilience” แบบทับศัพท์ เนื่องจากคำ ๆ นี้มี 2 นัยยะ คือ “อยู่ได้” และ “เติบโตได้” ก็เลยไม่รู้จะใช้ภาษาไทยแทนคำว่า “Resilience” อย่างไร
    หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือที่สานต่อมาจากหนังสือ The Survivor Personality โดยเน้นเรื่องการปฎิบัติเกี่ยวกับการสร้างหรือพัฒนา Resilence โดยแบ่ง Resilience เป็น ระดับ ซึ่งนำเสนอแยกเป็นบท ๆ โดยท้ายบทจะมี Resiliency Development Activities เพื่อให้นำไปฝึกปฏิบัติ
    ก่อนเข้าเรื่องขออธิบายคำศัพท์ 2 คำ ก่อนครับ
    Resilience หมายถึง ภาพรวมของ “ความสามารถในการฟื้นตัวและเติบโต” (เน้นผลลัพธ์และสภาวะ)
    Resiliency หมายถึง คุณลักษณะ/คุณภาพของการมี Resilience (เน้นคุณสมบัติหรือกระบวนการพัฒนา) 
    ในหนังสือเล่มนี้ทั้งเล่มจะใช้คำว่า Resiliency เพราะเน้นเรื่องคุณสมบัติและการพัฒนา มากว่าผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นครับ แต่ผมจะใช้คำว่า Reselence แทนทั้งหมด เพื่อให้สอดคล้องกับแง่มุมที่ต้องการนำเสนอนะครับ
 
Preface: A Head Start on Resiliency
       Al Siebert (ผู้เขียน) ได้มีโอกาสฟังเรื่องราวของ Dr. Viktor Frankl ในค่ายมรณะของนาซีในช่วงการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ เขาไม่ได้ขมขื่นหรือโกรธแค้น เขาเป็นคนที่มีความสุข ทำให้ผู้เขียนนึกถึงสิ่งที่ Abraham Maslow (นักจิตวิทยาชื่อดัง ผู้สร้างลำดับขั้นความต้องการของมนุษย์) ที่เรียกว่า "Continental Divide" ถ้าแปลตรงตัวก็คือเส้นแบ่งทวีป หรือสันปันน้ำ คือแนวสันเขาที่ทำให้น้ำมีทิศทางการไหลไปคนละทางหรือที่เรียกว่าสันปันน้ำ แนวคิดนี้ระบุว่า ชีวิตเปรียบเหมือนสันเขา หากเราอ่อนแอ ความทุกข์จะทำลายเรา แต่ถ้าแข็งแรงพอ ความทุกข์จะกลายเป็นบททดสอบที่ทำให้เราแกร่งขึ้น ผู้เขียนจึงเกิดคำถามว่า
 
“ทำไมบางคนถึงสามารถผ่านพ้นความยากลำบากอย่างที่สุด
แล้วกลับแข็งแกร่งและดีขึ้นกว่าเดิมได้?
พวกเขาทำได้อย่างไร?”
 
       ซึ่งเป็นที่มาของหนังสือ The Survivor Personality ที่ตีพิมพ์ในปี 1996 และถูกนำมาสานต่อในหนังสือ The Resiliency Advantage เล่มที่ผมจะเล่าให้ฟังครับ
 
Chapter One: Thriving in Today’s World
      คำอธิบายของ Resilence ถูกเริ่มต้นจาก Model ด้านล่างก่อนเลยครับ
 
 หนังสือเล่มเรียกลักษณะของสภาพแวดล้อมของ Gen Z และ Gen Alpha ที่เกิดมาในสภาพแวดล้อมที่เต็มไปด้วยดิจิทัล Phygital Natives ทำให้ผู้บริโภคกลุ่มนี้มีวิถีชีวิตที่ผูกติดกับดิจิทัลตลอดเวลา โดยใช้วิชีวิตที่ต้องการศัย AI และคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อมที่ห้อมล้อมไปด้วยดิจิทัล
วุฒิ สุขเจริญ
      เริ่มจากเมื่อเราพบกับ วิกฤติแบบสุดขั้ว (Extreme Setbacks) หรือมีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่สร้างแรงกระทบสูง (Disruptive Change) คนจะตอบสนองต่างกัน
1) Attack (โต้กลับ) – แสดงออกด้วยความโกรธหรือการต่อต้าน
2) Numb (มึน) – ทำอะไรไม่ถูก สูญเสียการตอบสนองทางอารมณ์
3) Upset (ไม่พอใจ) – เกิดความไม่พอใจ หวั่นไหว หรือเศร้าใจ
จากความไม่พอใจ บางคนกลายเป็นเหยื่อ (Victim) ของสถานการณ์ โดยโทษนู่นโทษนี่ โทษความไม่ยุติธรรม
แต่บางคนถึงจะไม่พอใจ และสามารถกลับมาสู่โลกของความจริง (Reality) และจัดการได้ (Cope) และกลับสู่สภาพปกติหรือแข็งแรงอีกครั้งหลังเจอปัญหา (Bounce Back) โดยฟื้นคืนแรง (Resile) เติบโตและแข็งแกร่งกว่าเดิม (Thrive)
 
Highly Resilient People
คือคนที่มีความยืดหยุ่น ปรับตัวเข้ากับสถานการณ์ใหม่ได้อย่างรวดเร็ว และสามารถเติบโตได้แม้ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
 
     มาถึงตรงนี้ก็อาจสรุปได้สั้น ๆ ว่า Relelience ต้องประกอบด้วยลักษณะ 3 ประการคือ ยืดหยุ่น ปรับตัวได้เร็ว และเติบโตได้ หนังสือเล่มนี้ใช้คำว่า "flexible, adapt to new circumstances quickly, and thrive in constant change"
 
  ในบทนี้ผู้เขียนยังระบุถึงการหลีกเลี่ยงปฏิกิริยาแบบเหยื่อ (Avoiding the Victim Reaction) โดยให้ความหมายของคำว่า Reaction กับ Response ได้ดังนี้้

“Reaction” หมายถึง ปฏิกิริยาอัตโนมัติ ที่เกิดขึ้นโดยไม่มีการคิดอย่างมีสติหรือรู้สึกว่ามีทางเลือกใด ๆ
“Response” หมายถึง การตอบสนองอย่างมีสติ ซึ่งการกระทำหลังเผชิญภัยคุกคามหรืออุปสรรคเกิดจากการตัดสินใจและการเลือกอย่างมีความตั้งใจ    
 
Resilience, resilient, and resiliency หมายถึงความสามาถดังนี้
1) รับมือกับการเปลี่ยนแปลงรุนแรงที่เกิดขึ้นต่อเนื่องได้ดี
2) รักษาสุขภาพและพลังงานให้ดีได้แม้อยู่ภายใต้ความกดดันตลอดเวลา
3) ฟื้นตัวจากความล้มเหลวได้อย่างรวดเร็ว
4) เอาชนะอุปสรรคและความยากลำบากได้
5) ปรับเปลี่ยนวิถีการทำงานและการใช้ชีวิตใหม่ได้เมื่อวิถีเดิมไม่สามารถดำเนินต่อไปได้
6) ทำสิ่งเหล่านี้ทั้งหมดได้โดยไม่แสดงพฤติกรรมที่เป็นปัญหาหรือสร้างความเสียหาย
      ซึ่งความสามารถเหล่านี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการทำงานในทุกระดับธุรกิจ โดย Resiliency จะมีอยู่ 5 ระดับ และมีอุปสรรค์สำคัญอยู่ 3 ประการที่ต้องก้าวข้าม ซึ่งจะเป็นเนื้อหาที่เหลือในหนังสือเล่มนี้
     ก่อนจะพัฒนาตนเองให้มี Resilience เราต้องเป็นอิสระต่อ 3 อุปสรรคดังนี้ก่อน
1) การถูกเลี้ยงดูมาอย่างดี (ไม่เคยเจอปัญหาหรือการปรับตัว)
2) ความเชื่อว่าปัจจัยหรือสิ่งภายนอกเป้นตัวกำหนดชีวิตเรา
3) ความเชื่อในมายาคติของความเครียด เช่น ความเครียดเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 
     ขั้นตอนหรือระดับของการสร้างทักษะ Resilience มีดังนี้
1) เพิ่มพูนสุขภาพและความเป็นอยู่ที่ดี (Optimize Your Health and Well-Being)
2) พัฒนาทักษะการแก้ปัญหา (Develop Good Problem-Solving Skills)
3) สร้าง “ผู้พิทักษ์ภายใน” ที่แข็งแรง (Develop Strong Inner Gatekeepers)
4) พัฒนาทักษะความยืดหยุ่นขั้นสูง (Develop High-Level Resiliency Skills)
5) ค้นพบพรสวรรค์ด้าน Serendipity (Discover Your Talent for Serendipity) 
 
 
Chapter Two : How Resilient Are You?
ผู้เขียนระบุว่าบางคนเกิดมาพร้อมกับการเป็น Resilience แต่คนที่ได้เป็นก็พัฒนาได้ ในบทนี้จะเป็นแบบทดสอบว่าเราเป็นคนที่ Resilience เพียงใด เนื่องจากผมเป็นสายบริหารธุรกิจไม่ใช่สายพัฒนาตนเอง ผมขอยกมในหนังสือมาให้ดูเลยละกัน ไม่ต้องแปล แต่ใครสนใจก็อาจนำไปปรับให้เป็นการประเมินองค์กรก็น่าจะได้อยู่นะครับ
วุฒิ สุขเจริญ
วุฒิ สุขเจริญ
วุฒิ สุขเจริญ
วุฒิ สุขเจริญ
 
 
Chapter Three: Bouncing Back from Setbacks
    ในบทนี้พูดถึงคนที่มีลักษะความเชื่อแบบ External Control หมายถึงปัจจัยภายนอกเป็นต้นเหตุของสิ่งต่าง ๆ และ Internal Control คือคนที่เชื่อว่าตนสามารถเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้ คนที่มี Resilience คือคนที่มีลักษณะความเชื่อแบบ Internal Control 
    "Life Isn't Fair and That Can Be Good for You" ในหนังสือเล่าถึง Tom Kelley ผู้บริหารฝ่ายบุคคลของ Benjamin Franklin Savings and Loan ที่ถูกควบรวมกิจการ และถูกให้ออกจากงาน ถึงแม้จะหัวเสียแต่สุดท้ายด้วยความพยายามทำให้ได้งานใหม่ที่ประสบความสำเร็จที่ดีกว่าเดิม เป็นตัวอย่างที่ดีของ Resilience และการเชื่อมั่นใจในการกำหนดชีวิตด้วยการกระทำของตนเอง มากกว่าจะโทษสิ่งอื่น
   จากตัวอย่างของ Tom Kelley หนังสือได้สรุป หลักการ 8 ข้อที่มีผลต่อ Resilience โดยปรับวิธีการคิดหรือทัศนคติ คือ
1) เมื่อเจอการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในชีวิต คุณจะไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป คุณจะกลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้นหรืออ่อนแอลง ดีขึ้นหรือขมขื่นกว่าเดิม คุณมีพลังในตัวเองที่จะกำหนดทางเลือกนั้น
2) เมื่อคุณต่อสู้กับความทุกข์ยากหรือการเปลี่ยนแปลงที่พลิกผัน ความคิดและพฤติกรรมของคุณจะกลายเป็นทั้ง กำแพงกีดขวาง หรือ สะพานสู่อนาคตที่ดีกว่า ได้
3) การโทษคนอื่นว่าทำให้ชีวิตคุณเลวร้าย จะทำให้คุณติดอยู่ในสภาพของเหยื่อที่ไร้พลัง และไม่ลงมือทำสิ่งที่จะสร้างความยืดหยุ่นให้ตนเอง
4) ชีวิตไม่ยุติธรรม และนั่นอาจเป็นสิ่งดีสำหรับคุณ ความยืดหยุ่นเกิดจากความรู้สึก รับผิดชอบส่วนตัว ในการหาวิธีเอาชนะอุปสรรค การดิ้นรนฟื้นตัวจากความล้มเหลวสามารถทำให้คุณพัฒนาความแข็งแกร่งและความสามารถที่คุณไม่เคยรู้ว่าตัวเองมี
5) จุดแข็งเฉพาะตัวด้านความยืดหยุ่นของคุณ เกิดจากการเรียนรู้ที่มีแรงจูงใจจากภายในและการจัดการตนเอง จาก โรงเรียนแห่งชีวิต (ประสบการณ์ชีวิตจริง)
6) การรู้จักตัวเองเพิ่มความยืดหยุ่นได้
7) การได้สัมผัส “การมีทางเลือก” จะนำไปสู่ความรู้สึก อิสระ เป็นตัวของตัวเอง และควบคุมชีวิตได้
8) เมื่อคุณพัฒนาความยืดหยุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ คุณจะรับมือกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ความทุกข์ยาก และความล้มเหลวรุนแรงได้อย่างมีประสิทธิภาพ รวดเร็ว และง่ายดายมากขึ้น
 
 
Chapter Four:
Level One Resiliency: Optimize Your Health
   บทนี้เริ่มต้นด้วยการอธิบายความแตกต่างของความหมายระหว่างคำว่า stress และ strain โดย "stress" คือแรงกดดันภายนอก เช่น ยอกขายตก ส่วน "strain" คือผลกระทบภายในที่เกิดขึ้นจากแรงกดดันนั้น เช่น ความกังวล
   แรงกดกัดภายนอกที่เหมือนกัน แต่คนเราสามารถจัดการกับผลกระทบได้แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละคนมีความสามารถในการรับผลกระทบได้ไม่เท่ากัน (เหมือนคนและคนยกนัำหนักได้ไม่เท่ากัน)
     ปฏิกิริยาของสิ่งมีชีวิตต่อความต้องการที่กดดันและเกินขีดความสามารถทางชีวภาพอย่างต่อเนื่อง เรียกว่า General Adaptation Syndrome แบ่งเป็น 3 ระยะ คือ ระยะเตือนภัย (Alarm Reaction) ระยะต้านทาน (Stage of Resistance) และระยะหมดแรง (Stage of Exhaustion)
    เมื่อคุณรู้สึกโกรธหรือกลัว ฮอร์โมนจากต่อมหมวกไตจะหลั่งออกมาทันทีเพื่อเตรียมร่างกายให้พร้อมสำหรับการตอบสนองฉุกเฉิน ระดับน้ำตาลในเลือดของคุณจะสูงขึ้น และอัตราการเต้นของหัวใจจะเร็วขึ้น เพื่อสูบฉีดเลือดไปยังกล้ามเนื้อ เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับการต่อสู้หรือการวิ่งหนีอย่างรวดเร็ว เซลล์เม็ดเลือดแดงในร่างกายจะมีลักษณะ "เหนียว" มากขึ้น เพื่อเพิ่มการแข็งตัวของเลือดในกรณีที่คุณได้รับบาดเจ็บ รูม่านตาในดวงตาของคุณจะขยายกว้างขึ้น คุณจะหายใจแรงและเร็วขึ้น และคุณจะเหงื่อออก
ในเวลาเดียวกัน การทำงานของระบบประสาทพาราซิมพาเทติก (parasympathetic nervous system) ซึ่งเป็นระบบ "ซ่อมแซมและฟื้นฟู" จะถูกกดไว้ การทำงานของระบบภูมิคุ้มกันลดลง และกระบวนการย่อยอาหารก็ช้าลงด้วย

เมื่อคนเราคิดว่าตนเองถูกคุกคาม รู้สึกโกรธ หรือวิตกกังวลตลอดเวลา ระบบประสาทซิมพาเทติก (sympathetic nervous system) จะทำให้ร่างกายอยู่ในภาวะตื่นตัวแบบฉุกเฉินตลอดเวลา หากการกระตุ้นของระบบประสาทซิมพาเทติกเกิดขึ้นต่อเนื่องโดยไม่หยุดเป็นเวลาหลายสัปดาห์หรือนานกว่านั้น ก็จะเริ่มเกิดโรคที่เกี่ยวข้องกับการปรับตัว (diseases of adaptation) เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ เส้นเลือดสมองแตก แผลในกระเพาะอาหารที่มีเลือดออก และมะเร็ง ซึ่งอาจนำไปสู่การเสียชีวิตก่อนวัย หากไม่ได้รับการแก้ไข

เพื่อให้สุขภาพดี ร่างกายของคุณต้องการเวลาที่อัตราการเต้นของหัวใจช้าลง กระบวนการย่อยอาหารเพิ่มขึ้น และการทำงานที่ซับซ้อนของระบบภูมิคุ้มกันเพิ่มมากขึ้น
     เนื้อหาบทนี้ค่อนข้างยาว แต่สรุปสั้น ๆ ว่า Level One Resiliency (Optimize Your Health) คือเราต้องพยายามฝึกในการจัดการ Strain เพื่อเพิ่มความสามารถของเรานั่นเอง
 
Chapter 5:
Level Two Resiliency: Skillfully Problem Solve
     จากการศึกษาพบว่าคนที่มุ่งที่พยายามแก้ไขปัญหามากกว่าการยอมแพ้ จะมี Resilience ที่สูงกว่า
     Help Your Brain, Have Fun งานวิจัยระบุว่าการพัฒนาจะเกิดขึ้นต่อเมื่อรู้สึกสนุกกับมัน ดังนั้นเราต้องทำให้สมองของเรารู้สึกสนุกกับการแก้ปัญหามากกว่าถูกกดดัน
     สมาคมจิตวิทยาอเมริกัน (American Psychological Association) ในปี 2003 อธิบายว่า มนุษย์เกือบทุกวัฒนธรรมใช้ สติปัญญา (intelligence) ได้สามรูปแบบที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน คือ
1) สติปัญญาเชิงวิเคราะห์ (Analytical intelligence) ใช้เหตุผล ตรรกะ และการคิดเชิงนามธรรมในการแก้ปัญหาที่คุ้นเคย
2) สติปัญญาเชิงสร้างสรรค์ (Creative intelligence) ใช้เพื่อคิดค้นวิธีแก้ปัญหาที่ไม่ธรรมดาในสถานการณ์ใหม่และไม่คุ้นเคย
3) สติปัญญาเชิงปฏิบัติ (Practical intelligence) ใช้แก้ปัญหาจริงในสถานการณ์จริงในชีวิตประจำวัน คนที่ “เอาตัวรอดเก่ง” หรือ “หัวไว” มักเป็นคนที่มีสติปัญญาเชิงปฏิบัติ แม้พวกเขาอาจใช้การคิดเชิงตรรกะและสร้างสรรค์ร่วมด้วยก็ตาม
     ในการแก้ปัญหาเราจึงสามารถใช้สติปัญญาที่แตกต่างกันในการแก้ปัญหา (Analytical Problem Solving, Creative Problem Solving, Practical Problem Solving) ซึ่งเอาใช้หลาย ๆ วิธีร่วมกันก็ได้เช่นเดียวกัน
     การฝึกทักษะในการแก้ปัญหาในรูปแบบต่าง ๆ จะช่วยให้เราสามารถพัฒนา Resilence ได้ดีขึ้น (Level 2)
 
 
Chapter 6:
Level Three Resiliency: Strengthen Your Three Inner Selfs
   บทนี้ก็เป็นอีกขั้นของ Resilence (Level 3) โดยการทำให้ภายในแข็งแกร่งใน 3 ด้าน คือ
1) ความเชื่อมั่นในตนเอง (Self-confidence) คือสิ่งเราคาดหวังกับตัวเราเองได้ (What you expect from yourself)

2) การเห็นคุณค่าในตนเอง (Self-esteem) คือ ความคิดเห็นทางอารมณ์ของคุณต่อตัวเอง ความมั่นคงในคุณค่าในตัวเองทำหน้าที่เหมือน ผ้าห่มหนานุ่มทางอารมณ์ ที่ปกป้องคุณจากความเจ็บปวดเมื่อถูกวิจารณ์อย่างรุนแรง คนที่มี Self-esteem อ่อนแอจะ ถูกคุกคามและชักจูงได้ง่าย เพราะพวกเขาพึ่งพาผู้อื่นในการเติมเต็มความรู้สึกมีคุณค่าในตนเอง และกลัวว่าผู้อื่นจะไม่ชอบพวกเขา

3) ภาพลักษณ์ตนเอง (Self-concept) คือ คุณคิดว่าตัวเองเป็นใคร (Who you think you are) เราต้องไปด้อยค่าตัวเอง เช่น ฉันมันคนขี้แพ้ แต่เราต้องมั่นคงในภาพลักษณ์ของต้วเอง เช่น บอกกับตัวเองว่า เราเป็นคนแข็งแกร่ง
 
Chapter 7:
Level Four Resiliency: Unleash Your Curiosity
Enjoy Learning in the School of Life
     บทนี้ว่าด้วยเรื่องการเรียนรู้และฝึกจากชีวิตจริง การเรียนรู้มีด้วยกัน 3 รูปแบบคือ
1) การเรียนแบบในห้องเรียน
2) การเรียนแบบการเลียนแบบและการฝึกปฏิบัติ
3) การเรียนจากปรสบการณ์ที่เจอ

การเรียนจากชีวิตจริงมี 5 ขั้นตอนคือ
1) ทบทวนเหตุการณ์ (Replay) หลังจากผ่านประสบการณ์สำคัญ ลองย้อนภาพเหตุการณ์นั้นในใจเพื่อให้เข้าใจชัดเจนว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง
2) บรรยายประสบการณ์ (Describe) เล่าเหตุการณ์นั้นให้เพื่อนฟัง หรือเขียนลงในบันทึก มองตัวเองและคนอื่นในฐานะผู้สังเกตการณ์
3) ตั้งคำถามกับตัวเอง (Ask) “ฉันเรียนรู้อะไรจากเรื่องนี้ได้บ้าง?” “ถ้าเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นอีก ฉันจะทำอะไรแตกต่างหรือเหมือนเดิมจากครั้งนี้บ้าง?”
4) จินตนาการการตอบสนองที่ดีขึ้น (Imagine) ลองนึกภาพว่าครั้งหน้าคุณจะพูดหรือทำอย่างไรให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
5) ซ้อมในใจ (Mentally Rehearse) ซ้อมภาพตัวเองที่ตอบสนองต่อสถานการณ์ได้ดีกว่าเดิมอย่างชัดเจนในจินตนาการ
 
Chapter 8:
Level Four Resiliency: The Power of Positive Expectations

   ในบทนี้ยังอยู่ที่ Level ที่ 4 ใช้การมองโลกในแง่ดีช่วยเสริมสร้าง Resilience

Hope: ความหวังช่วยให้ตอนตกที่นั่งลำบาก ช่วยให้เราพบกับสิ่งที่ดีในอนาคตและไม่
พบกับสิ่งไม่ดีที่จะเกิดขึ้น

Optimism: Gottfried Leibniz นักปรัชญา นักคณิตศาสตร์ และนักประดิษฐ์ ระบุว่าถ้าพระเจ้าเป็นสิ่งสมบูรณ์แบบ เหตุใดจึงสร้างโลกที่มีความทุกข์ยาก พระเจ้าควรจะสร้างจักรวาลที่ดีที่สุด (optimum universe) เขาใช้คำละตินว่า “optimus” ในปี ค.ศ. 1710 เพื่ออธิบายจักรวาลที่สมบูรณ์แบบตามเหตุผลของตน แนวคิดนี้ต่อมากลายเป็นที่รู้จักในชื่อ ปรัชญาแห่งการมองโลกในแง่ดี (philosophy of optimism) นอีกด้านหนึ่ง มีนักคิดที่ไม่เห็นด้วยกับไลบ์นิซและพัฒนาแนวคิด ปรัชญาแห่งการมองโลกในแง่ร้าย (philosophy of pessimism) ซึ่งมาจากคำละติน “pessimus” หมายถึง “เลวที่สุด” มนุษย์ได้เรียนรู้ว่าการคาดการณ์โลกในด้านดีและในด้านร้ายสามารถมีอิทธิพลต่อสิ่งที่จะเกิดขึ้นในชีวิต

Self-Reliance: ในปี 1841 Ralph Waldo Emerson ได้เขียนบทความชื่อ "Self-Reliance" ระบุว่าคนเราสามารถกำหนดชีวิตของตนเองได้

True Hope: คนมองโลกในแง่ดี (optimist) มักเชื่อว่าสิ่งต่าง ๆ จะออกมาดีที่สุด แต่ในความเป็นจริง ชีวิตไม่ได้เป็นเช่นนั้นเสมอไป ความหวังที่แท้จริง (true hope) คือการมองอย่างชัดเจน ไม่ตั้งสมมติฐานล่วงหน้าว่าทุกอย่างจะดีเอง มันมองเห็นปัญหาและอุปสรรคทั้งหมดที่รออยู่ และ ผ่านอุปสรรคเหล่านั้นไปค้นหาเส้นทางที่เป็นไปได้และสมจริงเพื่ออนาคตที่ดีกว่า


“PMA” (Positive Mental Attitude)
วิทยากรที่สร้างแรงบันดาลใจที่สอนให้คนมี PMA ซึ่งมักทำให้หลายคนล้มเหลว เพราะการท่องคำพูดเชิงบวกซ้ำ ๆ เพียงอย่างเดียว แทบไม่เคยนำไปสู่ความสำเร็จตามที่สัญญาไว้ นทางจิตวิทยา ทัศนคติ (attitude) ไม่ได้มีแค่มิติทางความคิด แต่มี สามองค์ประกอบ คือ: ด้านความคิด (cognitive) ด้านอารมณ์ (emotional) ด้านพฤติกรรม (behavioral) ทัศนคติ คือการผสมผสานของความคิด อารมณ์ และพฤติกรรมที่เชื่อมโยงกัน เป็นวิธีคิด ความรู้สึก และการตอบสนองที่เกิดขึ้นโดยอัตโนมัติและซ้ำซาก ทัศนคติของคน ไม่สามารถเปลี่ยนได้เพียงการสั่งให้คิดต่าง แต่สามารถเปลี่ยนได้โดยการ ฝึกฝนวิธีคิดใหม่อย่างสม่ำเสมอ ซึ่งต้องเปลี่ยนทั้งอารมณ์และพฤติกรรมควบคู่กัน รวมถึงต้องเผชิญความท้าทายจากทัศนคติของกลุ่มคนรอบข้าง


ทั้งความหวัง (Hope) และการมองโลกในแง่ดี (Optimism) สามารถมีส่วนช่วยเสริมสร้างความยืดหยุ่น (Resiliency) ได้เพราะทั้งสองอย่างมุ่งไปสู่อนาคต (future oriented) คนที่รู้สึกมีความหวังและมองโลกในแง่ดีมีโอกาสสูงขึ้นที่จะ ฟื้นตัว (bounce back) และอาจทำให้สิ่งต่าง ๆ ดีขึ้นกว่าก่อน ความหวังช่วยให้คนสามารถ อดทนต่อช่วงเวลาที่ยากลำบาก ได้ ส่วนการมองโลกในแง่ดีช่วยให้มี ความคิดและภาพในใจว่าสิ่งต่าง ๆ จะออกมาดี

Hope คือสิ่งที่ผู้คน “มี”
Optimism คือสิ่งที่ผู้คน “เชื่อ”


สรุปได้ว่า
ความหวัง (Hope), การมองโลกในแง่ดี (Optimism), ทัศนคติเชิงบวก (Positivity) และทักษะการรับมือ (Coping) เป็นรากฐานของ Resilience
 
Chapter 9:
Level Four Resiliency: Integrating Your Paradoxical Ability
     David McClelland ศาสตราจารย์ด้านจิตวิทยาแห่งมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด ใช้เวลาหลายปีในการวิจัยพบว่า ระดับ IQ สูงและการมีการศึกษาระดับมหาวิทยาลัยไม่ได้รับประกันความสำเร็จในชีวิต เขาพบว่า คนที่ประสบความสำเร็จคือคนที่ทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายส่วนตัว คนเหล่านี้ ไม่ได้อยู่บนเส้นเดียวที่มีความมองโลกในแง่ดีอยู่ปลายด้านหนึ่ง และมองโลกในแง่ร้ายอยู่อีกด้านหนึ่ง แต่พวกเขามอง ความคิดเชิงบวกและเชิงลบเป็นกิจกรรมทางจิตใจและอารมณ์ที่แยกออกจากกัน และสามารถเลือกใช้ทั้งสองแบบ หรือแม้แต่ใช้ทั้งคู่พร้อมกันได้
    โดยการใช้ความคิดเชิงบวกและความคิดเชิงลบมีด้วยกัน 3 แบบบ คือ
1) เลือกคิดและรู้สึกในเชิงบวก และ/หรือ เชิงลบได้ตามสถานการณ์อย่างเหมาะสม
2) ให้ความสำคัญของการคิดเชิงบวกและเชิงลบไปพร้อม ๆ กัน
3) ใช้ความคิดเชิงบวกไปหักล้างความคิดเชิงลบ 
วุฒิ สุขเจริญ
     ผู้ที่มีคุณสมบัติ Resilience คือผู้ที่ใช้สองที่ขัดแย้งกัน ไม่ใช่เลือกทางใดทางหนึ่ง ทำให้สามารถปรับตัวได้ง่าย
วุฒิ สุขเจริญ
Chaper 10:
Level Four Resiliency: Allowing Everything to Work Well
(The Synergy Talent)
Synergistic and Desynergistic Effects
คนบางคนสร้างผลทำลายซินเนอร์จี้ (Desynergistic effect): เมื่อพวกเขาอยู่ในกลุ่ม จะทำให้บรรยากาศและพลังงานของกลุ่มลดลง คุณจะรู้สึกโล่งใจเมื่อพวกเขาไม่อยู่

คนบางคนสร้างผลซินเนอร์จี้ (Synergistic effect): ไม่ว่าพวกเขาอยู่ที่ไหน ทุกอย่างจะทำงานได้ดีขึ้นสำหรับทุกคน

คนที่มี Resilience สูงมักมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นในลักษณะที่เสริมพลังและทำให้ทุกอย่างดีขึ้น (Synergistic ways)
 
คำว่า Synergy เดิมทีถูกใช้โดยแพทย์เพื่ออธิบายว่า เมื่อใช้ยาสองชนิดร่วมกันจะให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าผลของยาแต่ละตัวแยกกัน

อับราฮัม มาสโลว์ (Abraham Maslow) เป็นนักจิตวิทยาคนแรกที่ใช้คำว่า “Synergy” เพื่ออธิบายความแตกต่างของผลลัพธ์ที่เกิดจากวิธีการที่ผู้จัดการบริหารพนักงานของตน ซึ่งต่อมาถูกตีพิมพ์เป็นหนังสือชื่อ Eupsychian Management ในหนังสือเล่มนี้ มาสโลว์อธิบายว่า ผู้จัดการในบางองค์กรสร้างผลกระทบทางลบต่อสุขภาพจิตของพนักงาน พนักงานในองค์กรเหล่านี้เมื่อเลิกงานกลับบ้านจะรู้สึกหมดพลังทางจิตใจ ต้องการความช่วยเหลือจากครอบครัว เพื่อน และชุมชนเพื่อฟื้นฟูพลังใจให้พอกลับไปทำงานได้อีกครั้ง มาสโลว์เรียกผลกระทบนี้ว่า “Desynergistic” ซึ่งหมายถึง องค์กรที่ดูดพลังออกจากครอบครัวและชุมชนที่พนักงานเหล่านั้นสังกัดอยู่
 
Become the "Go-To" Person (คนที่ไว้ใจและมักจะหันไปขอความช่วยเหลือ คำแนะนำ หรือข้อมูลจากเขาเป็นคนแรกเมื่อมีปัญหาหรือต้องการความช่วยเหลือ) คนเหล่านี้สามารถสร้างพลังให้กับผู้อื่น
Difficult People Are No Longer Difficult for You
คนที่เคยยากจะรับมือจะไม่ยากสำหรับคุณอีกต่อไป การมี Resiliency ในระดับสูง หมายถึงการสามารถ: ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างรวดเร็วเมื่อเจอกับคนโกรธ เบี่ยงเบนการโจมตีส่วนตัว ไม่ถูกกระทบจากคำพูดด้านลบ และรับมือกับคนที่มีพฤติกรรมไม่เหมาะสมได้ดี
Develop Deep Resiliency by Developing Your Synergy Skills
เราจะพัฒนา Resilence ได้โดยการสร้างทักษะด้าน synergy ของคุณ
 
Chaper 11:
Level Five Resiliency: Strengthening Your Talent for Serendipity
   บทนี้ก็มาถึง Resilience ในระดับที่ 5 
    Serendipity คำนี้น่าสนใจมาก ในหนังสืออธิบายคำนี้ไว้บางส่วน ทำให้ผมสนใจและไปหาข้อมูลเพิ่มเติม ดังนี้คำว่า Serendipity คำนี้เดิมไม่มีในพจนานุกรม โดยถูกบัญญัติความหมายครั้งแรกโดย Horace Walpole ในปี 1754 ซึ่งได้รับแรงบันดาลจาก นิทานเปอร์เซีย The Three Princes of Serendip (Serendip เป็นชื่อโบราณของประเทศ ศรีลังกา ในภาษาเปอร์เซียและภาษาอาหรับ) ในนิทานเจ้าชายทั้งสามเดินทางออกผจญภัย ได้พบกับ เหตุการณ์และเบาะแสที่ดูเหมือนบังเอิญ แต่ทุกครั้งพวกเขาสามารถ สังเกต วิเคราะห์ และเชื่อมโยงข้อมูลเล็กน้อยรอบตัวอย่างชาญฉลาด ต่อมาในปี 1912 พจนานิกรม Oxford English Dictionary ได้บันทึกคำว่า Serendipity เป็นครั้งแรก ซึ่งคำนี้มี 2 องค์ประกอบคือ 1) การพบหรือประสบ (สิ่งที่ดี) โดยบังเอิญ 2) การใช้ไหวพริบ ปัญญา หรือความช่างสังเกต
    Serendipity คือทักษะขั้นสูงของ Resilience ทำให้สามารถเปลี่ยนเหตุการณ์ที่พลิกชีวิตให้กลายเป็นโชคดี
    เราต้องถามคำถามเหล่านี้เพื่อพัฒนาทักษะ Serendipity ดังนีั
- มีอะไรดีในเรื่องนี้บ้าง?
- ฉันจะพลิกสถานการณ์นี้ให้เป็นประโยชน์กับตัวเองได้อย่างไร?
- เหตุการณ์นี้สร้างโอกาสพิเศษอะไรขึ้นมาบ้าง? 
 
Chaper 12:
Level Five Resiliency: Mastering Extreme Resiliency Challenges
   Joanne Jozefowski อธิบายไว้ในหนังสือ The Phoenix Phenomenon การเดินทางอันกล้าหาญเพื่อสร้างชีวิตที่พังทลายขึ้นมาใหม่ มักประกอบด้วย 5 ขั้นตอนหลัก ดังนี้
การได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ (Impact) การสับสน (Chaos) การปรับตัว (Adapting) การสร้างสมดุลในชีวิตปัจจุบัน (Equilibrium) และ การเปลี่ยนแปลงไปสู่สิ่งที่ดีขึ้น (Transformation)
    การเดินทางภายในอย่างกล้าหาญเพื่อกลับสู่ชีวิต (The Heroic Inner Journey Back) คือความพยายามกลับมาจากเรื่องที่เลวร้าย
มักดำเนินไปตามขั้นตอนดังนี้
1) เข้าสู่ไฟ (Into the Fire): การเผชิญหน้าและรำลึกความทรงจำที่น่ากลัว
2) การยึดอำนาจควบคุม (Taking Control Phase): การต่อสู้เพื่อควบคุมตนเอง
3) ช่วงการเปลี่ยนผ่าน (Transition Phase): ความพยายามที่ก้าวเข้าสู่ดินแดนใหม่
4) การปรากฏตัวใหม่ (Re-emerging Phase): ประกาศและยืนยันตัวตนใหม่
5) การรับมือกับผู้ฟังที่ไม่เก่ง (Learning to Deal with Poor Listeners): การรับมือกับคนที่ถามเรื่องราวของคุณแต่ไม่พร้อมรับฟังอย่างแท้จริง
6) การพูดด้วยปัญญา ไม่ใช่ความเจ็บปวด (Speaking with Wisdom, Not Pain) 
    สรุปใจความในบทนี้คือ ผู้เขียนได้ยกตัวอย่างคนที่ผ่านเหตุการณ์ที่ร้ายแรง เช่น เหตุการณ์ 9/11 เหตุระเบิดตึก Murrah ซึ่งในท้ายที่สุดคนบางกลุ่มสามารถกลับมามีชีวิตที่ดีขึ้น สร้างประโยชน์ให้กับสังคม ดังนั้น Level Five Resiliency คือความสามารถกลับมาได้จากเหตุการณ์ที่เลวร้ายสุด ๆ
 
Chaper 13:
Level Five Resiliency: Our Transformational Breakthrough
      อี้จิง (I Ching) เป็นภูมิปัญญาเก่าแก่กว่า 5,000 ปีหรือที่รู้จักในโลกตะวันตกในชื่อ The Book of Changes (คัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง) เป็นหนังสือที่มีการใช้อย่างต่อเนื่องยาวนานที่สุดในประวัติศาสตร์มนุษยชาติ ต้นกำเนิดของมันสืบย้อนไปได้เกือบ 5,000 ปี ชื่อหนังสือในภาษาจีนสื่อความหมาย สามประการหลัก:
- ความเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งคงที่ (Change is constant)
- ความเปลี่ยนแปลงคือจุดอ้างอิงที่มั่นคงเพียงอย่างเดียวในชีวิต (Change is the only stable reference point)
- กระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ไม่สิ้นสุดสามารถเป็นสิ่งที่เรียบง่าย ง่ายดาย และเป็นธรรมชาติสำหรับเราได้
อันนี้ผมเพิ่มเติมให้ ..............
"อี้" (易) แปลว่า "การเปลี่ยนแปลง" หรือ "ง่าย"
"จิง" (經) แปลว่า "คัมภีร์" หรือ "ตำรา"
ดังนั้น อี้จิง จึงแปลว่า "คัมภีร์แห่งการเปลี่ยนแปลง" หรือ "หนังสือแห่งการเปลี่ยนแปลง"
    บรรดานักปราชญ์จีนไม่ใช่ผู้สังเกตเพียงกลุ่มเดียวที่ตระหนักถึง ความคงที่ของการเปลี่ยนแปลง ราว 500 ปีก่อนคริสตกาล นักปรัชญาชาวกรีกชื่อ เฮราคลีตุส (Heraclitus) ได้ก่อตั้งสำนักปรัชญาขึ้นจากข้อสังเกตของเขาว่า
“ทุกสิ่งล้วนเปลี่ยนแปลง” รวมถึงมนุษย์ทุกคนด้วย 
   ผู้คนกำลังถูกสถานการณ์ในปัจจุบัน บังคับให้เปลี่ยนแปลง จากวิธีการใช้ชีวิตที่มีประสิทธิภาพน้อยกว่า ไปสู่แนวทางใหม่ที่มีประสิทธิภาพมากกว่า ดังนี้
วุฒิ สุขเจริญ
       
 
My Opinion
หนังสือเล่มนี้เล่าเรื่อง Resilience ในเชิงของการพัฒนาตนเอง มีแตะ ๆ เกี่ยวกับธุรกิจบ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเน้นสถานการณ์ในชีวิตจริงมากกว่า ที่ต้องอ่านเล่มนี้เพราะอยากรู้ที่มาที่ไปและความหมายดั้งเดิมของ Resilence จริง ๆ อยากให้หนังสือมีบทสรุปอีกสักบทนึงไม่อยากให้จบแบบห้วน ๆ ในภาพรวมหนังสือเล่มนี้ผมให้ 2 ดาว ครับ
 
  
 
Reviewed by รศ. ดร. วุฒิ สุขเจริญ Contact Me:  bestofsiam@hotmail.com