 |
Title: The Innovators'
Dilemma |
Author: Clayton M.
Christensen |
My Rating:
 |
|
|
|
Summary |
The
Innovators's Dilemma เป็นหนังสืออีกเล่มหนึ่งที่โด่งดังมาก
มีคนหยิบยกเอามาพูดกันเยอะทั้งฝรั่งทั้งคนไทย
แต่เชื่อรึเปล่าครับว่าคนที่หยิบยกมาพูดส่วนใหญ่ไม่อ่านหนังสือเล่มนี้จริง
ๆ บางครั้งมันฟังดูเพี้ยน ๆ
หนังสือเล่มนี้เป็นผลมาจากการศึกษาเกี่ยวกับบริษัทที่เป็นผู้นำในธุรกิจ
แต่แล้ววันหนึ่งที่เทคโนโลยีเปลี่ยน ทำให้จากผู้นำในธุรกิจ
กลับกลายเป็นผู้ตามไม่ทันไปซ่ะอย่างงั้น |
|
|
หนังสือเล่มนี้พูดถึง
Technology 2 ประเภทได้แก่ Sustaining Technologies
เป็นเทคโนโลยีที่เน้นการพัฒนาให้สินค้ามีการทำงานที่ดีขึ้น
เช่นถ้าเป็น Harddisk drive ก็พัฒนาให้มีความจุสูงขึ้น
ถ้าเป็นรถยนต์ก็พัฒนาให้มันวิ่งได้เร็วขึ้น เป็นต้น
ส่วนเทคโนโลยีอีกประเภทหนึ่งเรียกกว่า Disruptive Technologies
เป็นเทคโนโลยีที่พัฒนาสินค้าในอีกทิศทางหนึ่ง
คือทำให้สินค้าถูกลง ใช้งานง่ายขึ้น ขนาดเล็กลง เป็นต้น
ตัวอย่างเช่น Online retailing, Mobile telephony, Digital
photography เป็นต้น
ประเด็นของหนังสือเล่มนี้คือ
ผู้นำในอุตสาหกรรมจะพัฒนาสินค้าของตนตามเส้นทางของ Sustaining
Technology ในขณะที่บางบริษัทกลับพัฒนาสินค้าโดยมุ่งไปที่
Disruptive Technology ซึ่งในช่วงแรก ๆ
ลูกค้าจะยังไม่มีความต้องการสินค้าที่เป็น Disruptive
Technology แต่เมื่อเวลาผ่านไป สินค้าจาก Disruptive
Technology
จะตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีกว่าสินค้าที่มาจาก
Sustaining Technologies
เนื่องจากว่ามันถูกพัฒนาขึ้นเกินความต้องการของลูกค้า
และเมื่อบริษัทที่เป็นผู้นำด้าน Sustaining Technologies
จะหันมาพัฒนาสินค้าที่เป็น Disruptive Technology
มันก็สายไปเสียแล้ว (ดูภาพประกอบด้านล่างจะเข้าใจยิ่งขึ้น)

หนังสือเล่มนี้ได้อธิบายว่าทำไมบริษัทใหญ่ ๆ
ที่เป็นผู้นำจึงพลาดในเกมการแข่งขันนี้ โดยอธิบายไว้ด้วยเหตุผล
4 ประการ
1. บริษัทที่เป็นผู้นำจะทำอะไรก็ต้องขึ้นกับลูกค้าและผู้ลงทุน
เนื่องจากสินค้าที่เป็น Sustaining Technology
เป็นสินค้าที่อยู่ในกระแสปัจจุบัน ซึ่งมีลูกค้าอยู่แล้ว
ดังนั้นบริษัทจึงมุ่งตอบสนองความต้องการของลูกค้า
โดยพัฒนาสินค้าไปในทิศทางที่ลูกค้าต้องการ
(พัฒนาสินค้าให้ทำงานได้ดีขึ้น)
และต้องตอบสนองความต้องการของนักลงทุน
เพราะเมื่อมีการพัฒนาให้มีการใช้งานดีขึ้น
ก็จะทำให้ขายได้ราคาดีขึ้น กำไรมากขึ้น
2. ตลาดของ Disruptive Technology
มักเริ่มต้นที่ตลาดขนาดเล็ก
ซึ่งตลาดเหล่านี้ไม่สามารถตอบโจทย์การเติบโตของบริษัทใหญ่ ๆ
ทำให้บริษัทใหญ่ ๆ มองข้ามไป
3. ตลาดของ Disruptive Technology มักเริ่มต้นที่ตลาดใหม่
ด้วยลักษณะของตลาดใหม่ ทำให้บริษัทใหญ่ ๆ
ไม่สามารถทำการวิเคราะห์ตลาดได้ เนื่องจากมันเกิดขึ้นมาใหม่
บริษัทใหญ่ ๆ จึงไม่เข้าไปลงทุน เพราะมีความเสี่ยง
4.
ความเชี่ยวชาญเดิมที่มีอยู่ทำให้ระบุว่าบริษัทควรทำอะไรและไม่ควรทำอะไร
เนื่องจากบริษัทที่พัฒนาสินค้าแบบ Sustaining Technology
จะมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว ส่วนที่เป็น Disruptive Technology
บริษัทมักไม่เชี่ยวชาญ
ดังนั้นจึงเลือกที่จะพัฒนาสินค้าไปในทิศทาง Sustaining
Technology มากกว่า Disruptive Technology
5. ความสอดคล้องของ Technology กับความต้องการของตลาด สินค้าที่เป็น
Disruptive Technology เกิดขึ้นในตลาดเล็ก ๆ ซึ่งสินค้า
Sustaining Technology ไม่สามารถตอบสนองได้
เพราะมันเป็นตลาดเล็ก ๆ
แต่เมื่อสินค้าผ่านการพัฒนาไปช่วงเวลาหนึ่ง
กลับกลายเป็นว่าสินค้า Sustaining Technology เกินความจำเป็น
แต่สินค้าที่เป็น Disruptive Technology
กลับตรงกับความต้องการของผู้บริโภคมากกว่า
|
|
My Opinion |
หนังสือเล่มนี้จัดได้ว่าเป็นหนังสือที่น่าอ่านเล่มหนึ่ง
ข้อดีก็คือมีการระบุสาเหตุที่ทำให้บริษัทใหญ่ ๆ
ไม่สามารถตามทัน Disruptive Technology
ซึ่งเป็นที่น่าแปลกใจเนื่องจากว่าส่วนใหญ่แล้ว สินค้าที่เป็น
Disruptive Technology
กลับเกิดขึ้นครั้งแรกในบริษัทที่ผลิตสินค้า Sustaining
Technology
แต่ที่ไม่ถูกนำมาพัฒนาต่อก็เพราะมันไม่ตอบสนองความต้องการของลูกค้าในปัจจุบัน
และไม่ตอบโจทย์ทางธุรกิจ ดังนั้น Project
เหล่านี้จึงถูกขึ้นหิ้ง แต่เมื่อวันเวลาผ่านไป สินค้า
Disruptive Technology กลับได้รับการยอมรับจากผู้บริโภค
ในขณะที่สินค้า Sustaining Technology กลับเกินความต้องการ
บริษัทที่ผลิตสินค้า Sustaining Technology
ก็ไม่สามารถปรับตัวได้ทันแล้ว
ข้อดีที่สำคัญของหนังสือเล่มนี้คือ
ไม่ได้บอกว่าสาเหตุของการล้มเหลวคืออะไร แต่บอกวิธีแก้ไว้ด้วย
เช่น วิธีการประเมินว่าเทคโนโลยีมันเป็น Disruptive Technology
หรือเปล่า และได้แนะนำวิธีที่บริษัทที่ผลิตสินค้า Sustaining
Technology จะปรับตัวเองเพื่อเผชิญกับ Disruptive Technology
ข้อเสียที่มองเห็นจากหนังสือเล่มนี้คือ
ตัวอย่างที่ให้มันจำกัดเพียงแค่อุตสาหกรรมไม่กี่ประเภท เช่น
Harddisk Drive, รถตักดิน Hydraulic, รถยนต์ใช้ไฟฟ้า,
ร้านค้าปลีก เป็นต้น
ทำให้แนวทางในการไปประยุกต์ใช้ในบริษัทที่ไม่ได้เป็นผู้นำในอุตสากรรมนั้น
อาจไม่ชัดเจน
เมื่อพิจารณาจากภาพรวมของหนังสือเล่มนี้ ผมให้ 4 ดาวครับ |
|