 |
Title: Business Model
Generation |
Author: Alexader
Osterwalder and Yves Pigneur |
My Rating:
 |
|
|
|
Summary |
การแข่ขันในเชิงธุรกิจปัจจุบันมีความรุนแรงมากขึ้น
ธุรกิจจำเป็นต้องมีการปรับรูปแบบธุรกิจ หรือหารูปแบบธุรกิจใหม่
ๆ เพื่อขยายตลาด สร้างการเติบโต สร้างความแตกต่าง
และสร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน หนังสือ Business Model
Generation
เป็นหนังสือที่นำเสนอกรอบความคิดในการสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ
โดยการนำเสนอการสร้างรูปแบบธุรกิจโดยอาศัย 9 Buliding Blocks
ซึ่งเป็น Model หลักของหนังสือ หนังสือแบ่งเป็นตอน ๆ ได้แก่
Canvas
เป็นกรนำเสนอเครื่องมือเพื่อใช้ในการวาดกรอบแนวคิดที่เป็นรูปแบบของธุรกิจ
Patterns เป็นการนำเสนอตัวอย่างรูปแบบธุรกิจ
เพื่อให้เกิดความเข้าใจ และเกิดแนวคิดรูแบบทางธุรกิจ
Design
เป็นการนำเสนอเครื่องมือในการใช้ออกแบบรูปแบบธุรกิจในรูปแบบต่าง
ๆ
Strategy เป็นการมองภาวะแวดล้อมต่าง ๆ
เพื่อสร้างกลยุทธ์ที่เหมาะสม
Process
ได้แก่กระบวนสรุปรวบรวมแนวคิดและเครื่องมือทั้งหมด
และสร้างเป็นรูปแบบธุรกิจ |
สำหรับแนวคิดหลักที่จะสร้างรูปแบบธุรกิจใหม่ ๆ
หนังสือเล่มนี้ได้นำเสนอในรูปแบบ 9 Building Blocks
แสดงตามภาพด้านล่าง |
|
 |
โดยแต่ละส่วนมีรายละเอียดดังนี้ |
|
1. Customers
การกำหนดกลุ่มลูกค้าเป้าหมายที่แตกต่างจากธุรกิจเดิมที่มีอยู่แล้ว
ทำให้เกิดรูปแบบของธุรกิจใหม่ ๆ โดยปกติลูกค้าเป้าหมายที่สำคัญ
ได้แก่
o ตลาดมวลชน (Mass Market)
หมายถึงกลุ่มลูกค้าทั่วไปที่มีขนาดใหญ่
o ตลาดเฉพาะกลุ่ม (Niche Market) หมายถึงตลาดย่อย ๆ มีขนาดเล็ก
ที่มีความต้องการที่เฉพาะเจาะจง
เหมือนกันภายในกลุ่ม
o ลูกค้าเฉพาะด้าน (Segmented)
หมายถึงกลุ่มลูกค้าที่มีความต้องการที่เฉพาะแตกต่างจากตลาดทั่วไป
โดยทั่วไปมีขนาดใหญ่กว่าตลาดเฉพาะกลุ่ม
o ตลาดหลากหลาย (Diversified)
หมายถึงตลาดที่มีความต้องการที่หลากหลาย แตกต่างกันออกไป
o ตลาดสองด้าน (Multi-sided Platform or Multi-sided Markets)
หมายถึงตลาดหรือลูกค่าตั้งแต่ 2 กลุ่มที่
มีความสัมพันธ์กัน
แต่มีความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น ธุรกิจนิตยสาร
มีรายได้จากลูกค้า 2 กลุ่ม ได้แก่
ผู้ซื้อโฆษณา และผู้ซื้อนิตยสาร
2. Value Propositions
ได้แก่คุณค่าของสินค้าหรือบริการที่เป็นความต้องการของลูกค้าเป้าหมาย
ได้แก่
o สิ่งใหม่ ๆ (Newness)
o การทำงาน (Performance)
o รูปแบบเฉพาะตน (Customization)
o ทำสำเร็จ (Getting the Job Done)
o การออกแบบ (Design)
o ตราสินค้าและสถานภาพ (Brand/Status)
o ราคา (Price)
o การลดค่าใช้จ่าย (Cost Reduction)
o การลดความเสี่ยง (Risk Reduction)
o การเข้าถึงง่าย (Accessibility)
o ความสะดวก (Convenience/Usability)
3. Channels
ได้แก่ช่องทางต่าง ๆ
ที่จะทำให้ธุรกิจสามารถเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายได้
โดยทั่วไปช่องแบ่งได้เป็น 2 ประเภท ได้แก่ ช่องทางแบบตรง
(Direct Channel) หมายถึงช่องทางที่ธุรกิจได้สร้างขึ้นมาเอง
เช่น ร้านค้าของตนเอง เว็บไซต์ พนักงานขาย อีกช่องทางหนึ่ง
ได้แก่ ช่องทางแบบอ้อม (Indirect Channel)
4. Customer Relationships
ได้แก่
การกำหนดว่าธุรกิจจะมีความเกี่ยวพันหรือมีความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างไร
โดยทั่วไปการสร้างความสัมพันธ์เป็นการนำไปสู่
การได้มาซึ่งลูกค้า (Customer Acquisition) การรักษาลูกค้า
(Customer Retention) และการเพิ่มยอดขาย (Boosting Sales:
Cross-selling & Up-selling)
ธุรกิจสามารถมีความสัมพันธ์หรือมีความเกี่ยวพันกับลูกค้าได้หลายรูปแบบ
เช่น
o การช่วยเหลือโดยบุคคล (Personal Assistance)
o การช่วยเหลือโดยบุคลที่ได้รับมอบหมาย (Dedicated Personal
Assistance)
o การบริการตัวเอง (Self-service)
o บริการอัตโนมัติ (Automated Services)
o การสร้างกลุ่มสังคมของลูกค้า (Communities)
o การร่วมสร้างสรรค์ (Co-creation)
5. Revenue Streams
ได้แก่การกำหนดแหล่งที่มาของรายได้ให้ชัดเจน
ว่ารายได้จากธุรกิจจะมาจากลักษณะไหนบ้าง
โดยทั่วไปที่มาของรายได้สามารถแบ่งได้เป็น 2 รูปแบบได้แก่
รายได้การดำเนินการ (Transaction Revenues)
คือได้รายได้จากลูกค้าครั้งต่อครั้ง และรายได้ต่อเนื่อง
(Recurring Revenues) ได้แก่รายได้ที่เกิดจากซื้อต่อเนื่อง
เช่น การซื้อที่มีลักษณะเป็นกระบวนการ หรือการบริการหลังการขาย
รายได้จากธุรกิจสามารถมีได้หลายรูปแบบ ได้แก่
o การขายสินทรัพย์ (Asset Sale)
o ค่าใช้งาน (Usage Fee)
o ค่าสมาชิก (Subscription Fee)
o การให้ยืม การเช่า และการเช่าซื้อ (Lending/Renting/Leasing)
o การให้สิทธิ์ (Licensing)
o ค่านายหน้า (Brokerage Fees)
o การโฆษณา (Advertising)
6. Key Resources
หมายถึงทรัพยากรหลักที่จำเป็นเพื่อทำให้ธุรกิจสามารถสร้างคุณค่าให้กับลูกค้า
การเข้าถึงลูกค้า รักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า
และการสร้างรายได้ เป็นต้น ซึ่งสามารถแบ่งได้ดังนี้
o กายภาพ (Physical)
o ทรัพย์สินทางปัญญา (Intellectual)
o บุคคลกร (Human)
o การเงิน (Financial)
7. Key Activities
หมายถึงกิจกรรมหลักที่ธุรกิจดำเนินการเพื่อให้ได้มาหรือสนับสนุนให้เกิดรายได้
โดยทั่วไป ได้แก่
o การผลิต (Production)
o การแก้ปัญหา (Problem Solving)
o การสร้างรูปแบบหรือเครือข่าย (Platform/Network)
8. Key Partnerships
หมายถึงการทำธุรกิจร่วมกับคู่ค้า
ซึ่งมีหลายรูปแบบ เช่น พันธมิตรทางธุรกิจ (Strategic
Alliances) พันธมิตรระหว่างคู่แข่ง (Coopetition) การร่วมทุน
(Joint Venture) การสร้างความสัมพันธ์กับผู้ซื้อกับผู้ขาย
เพื่อให้มั่นใจว่าผู้ซื้อจะได้รับสินค้าอย่างสม่ำเสมอ
(Buyer-supplier Relationships)
การสร้างพันธ์มิตรทำให้เกิดประโยชน์กับกิจการ ดังนี้
o การประหยัดจากขนาดการผลิต (Optimization and Economy of
Scale)
o การลดความเสี่ยงจากความไม่แน่นอน (Reduction of Risk and
Uncertainty)
o การซื้อทรัพยากรหรือกิจกรรมเฉพาะ (Acquisition for Particular
Resources and Activities)
9. Cost Structure
หมายถึงการกำหนดการบริหารจัดการต้นทุนของกิจการ
ซึ่งมีด้วยกันหลายรูปแบบ
โดยทั่วไปแนวคิดการบริหารต้นทุนสามารถแบ่งได้เป็น 2
ประเภทได้แก่ การมุ่งที่ต้นทุน (Cost-driven)
ได้แก่รูปแบบของธุรกิจที่มุ่งเน้นในการลดต้นทุนในทุก ๆ ด้าน
เพื่อสามารถทำให้จำหน่ายสินค้าหรือบริการได้ในราคาที่ต่ำ
ลักษณะของต้นทุนมีด้วยกันหลายประเภทได้แก่
o ต้นทุนคงที่ (Fixed Costs)
o ต้นทุนแปรผัน (Variable Costs)
o การประหยัดจากขนาดการผลิต (Economies of Scale)
o การประหยัดจากขอบเขต (Economies of Scope)
|
|
My Opinion |
หน้งสือเล่มนี้มีการเรียบเรียงเนื้อหาอย่างเป็นระบบ
โดยมีการนำเสนอเนื้อหาเพื่อสร้างกรอบแนวคิด
โดยมีตัวอย่างประกอบ จนไปถึงการระดมสมองคนในองค์กร
เพื่อให้ได้รูปแบบทางธุรกิจใหม่ ๆ
ซึ่งนอกเหนือจากการนำเสนอแนวคิดแบบ 9 Buliding Blocks แล้ว
ในหนังสือยังเสนอรูแบบอื่น ๆ อีก
ทำให้ผู้อ่านเกิดความรู้ทั้งในแนวกว้างและแนวลึก
ในความเห็นของผม
หนังสือเล่มนี้ถึงแม้จะมีการนำเสนออย่างเป็นระบบ
มีการนำเสนอทั้งเชิงลึกและเชิงกว้าง
และเน้นในการนำไปใช้งานได้จริง
แต่สิ่งที่นำเสนอผมกลับมองว่ายังไม่มีอะไรใหม่ ๆ
เป็นเพียงนำปัจจัยต่าง ๆ มารวมกัน
และการสร้างความเชื่อมโยงภายใน 9 Building Blocks
ก็ยังไม่ชัดเจน ก็เลยให้ไปแค่ 3 ดาว ครับ |
|