Home         Book Reviews         Business Trips        Technical Visits        About Me
Wut Sookcharoen
Book Reviews by  รศ. ดร. วุฒิ สุขเจริญ
 
วุฒิ สุขเจริญ Title:The 10X Rule: The Only Difference Between Success and Failure
Author:  Grant Cardone
My Rating: วุฒิ สุขเจริญ
 
 
มีหนังสือหลายเล่มที่ให้แนวคิดเรื่องการตั้งเป้าหมาย เช่น Built to Last ที่พูดถึงตั้งเป้าหมายแบบ BHAGs หนังสือ Straight from the gut ที่พูดถึง Stretch Goal หรือหนังสือ Moonshot ที่ใช้เป้าหมายมาขับเคลื่อนเพื่อผลิตวัคซีน Covid-19 ให้สำเร็จในเวลาที่ไม่เคยมีใครทำได้มาก่อน หนังสือ The 10X Rule เป็นอีกเล่มหนึ่งที่ให้แนวคิดการตั้งเป้าหมายซึ่งน่าสนใจ
 
ก่อนจะเล่าเกี่ยวกับเนื้อหาในหนังสือเล่มนี้ ผมให้ข้อมูลก่อนว่า หนังสือเล่มนี้มีราว ๆ 200 หน้า แต่มีจำนวนบทมากถึง 23 บท โดยไม่มีการแบ่งเป็นตอน ๆ ดังนั้นแต่ละบทจึงมีจำนวนหน้าไม่มาก จึงสรุปประเด็นของเนื้อหาได้สั้น ๆ
 
Chapter 1: What is the 10X rule?
10X rule อยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจว่า เราต้องทุ่มเท (effort) และคิด (thought) ขนาดไหน เพื่อให้ประสบความสำเร็จ 10X rule จึงเป็นการกำหนดระดับที่เหมาะสมของการกระทำ (ความทุ่มเท) และการคิด ที่จะทำให้ประสบความสำเร็จ ผู้เขียนเริ่มต้นจากความหมายของคำว่า “Success” ว่าหมายถึง ระดับ (degrees) หรือ การวัด (measure) ของการบรรลุวัตถุประสงค์หรือสิ่ง (เป้าหมาย) ที่เราปรารถนา ความสำเร็จเป็นเหมือนอากาศที่เราหายใจ แม้ว่าอากาศที่เราหายใจครั้งล่าสุดจะเป็นสิ่งสำคัญ แต่มันไม่ใกล้เคียงเลยกับความสำคัญของการหายใจเอาอากาศเข้าในครั้งต่อไป (อันนี้ชอบ) ถึงแม้เราจะบอกว่าเรามีทรัพย์สินเงินทองพอแล้ว ไม่ต้องดิ้นรนอะไรอีกแล้ว แต่เราก็ยังต้องการความสำเร็จอื่น เช่น การได้รับการยกย่อง การมีความความสุขกับครอบครัว การมีสุขภาพที่ดี
 
10X rule คุณต้องตั้งเป้าหมาย 10เท่า ของสิ่งที่คุณคิดว่าคุณต้องการ และต้องทำมันเป็น 10 เท่า ของสิ่งที่คุณคิดว่าคุณจะต้องทำเพื่อให้ประสบความสำเร็จตามเป้าหมาย
“This is the focus of the 10X Rule: You must set targets that are 10 times what you think you want and then do 10 times what you think it will take to accomplish those targets.”
 
ข้อผิดพลาดพื้นฐานที่คนมักทำเมื่อพยายามบรรลุเป้าหมายมีดังนี้
1) ตั้งเป้าหมายไม่ถูกต้อง คือ ตั้งเป้าหมายต่ำเกินไป ทำให้ขาดแรงจูงใจที่เหมาะสม
2 ประเมินสิ่งที่ต้องทำต่ำเกินไป คือ ประเมินต่ำเกินไปว่าจำเป็นต้องใช้การกระทำ ทรัพยากร เงินทุน และพลังงานมากเพียงใดเพื่อให้บรรลุเป้าหมาย
3) เสียเวลามากเกินไป
3) ประเมินต่ำไปว่าต้องเผชิญอุปสรรคมากเพียงใดกว่าจะสามารถบรรลุเป้าหมายที่ต้องการได้
 
10X Rule ก็คือ สิ่งที่คุณต้องคิดและทำเพื่อไปถึงจุดที่น่าพอใจมากกว่าที่คุณเคยจินตนาการไว้ถึง 10 เท่า เป้าหมายแบบ 10X ผู้เขียนยกตัวอย่างว่า ถ้าเราต้องการมีเงิน 1 ล้านบาท ถ้าเราตั้งเป้าเป็น 10 ล้านบาท เป้าหมายอันไหนที่จะสามารถยอมให้ขาดเหลือได้
บทนี้ผมสรุปเองสั้น ๆ เกี่ยวกับ 10X Rule ว่าคือการ “คิดให้ใหญ่ ทำให้เยอะ”
 
Chapter 2: Why the 10X Rule is Vital
บทนี้เล่าถึงมุมของเป้าหมายและการกระทำ ผู้เขียนระบุว่าเมื่อไม่สามารถบรรลุได้ตามเป้าหมาย คนส่วนใหญ่จะใช้วิธีการลดเป้าหมายมากกว่าการเพิ่มการกระทำ (ความพยายายาม) หากในองค์กรเราเลือกใช้วิธีการลดเป้าหมาย ก็เป็นการสื่อสารว่าเป้าหมายที่กำหนดนั้นไม่มีความสำคัญ ดังนั้นต้องไม่ลดเป้าหมายแต่ต้องเพิ่มการกระทำ “Never reduce a target. Instead, increase actions”

แนวคิด 10X Rule อยู่บนแนวคิดที่ว่า เป้าหมายไม่ใช่ปัญหา แต่ละเป้าหมายต้องกำหนดการกระทำที่ถูกต้อง (right actions) ความทุ่มเทที่มากพอ (right amounts) ด้วยความมุ่งมั่นที่จะให้สำเร็จ (persistence is attainable)

ปัญหาส่วนใหญ่คือเรามักเริ่มต้นมุ่งไปที่เป้าหมายมากกว่าระดับการกระทำ (เราควรคิดว่าเราทำมันดีพอ มากพอหรือไม่) เราควรทำให้ราวกับว่าชีวิตเราขึ้นอยู่กับมัน ทำเหมือนว่าเราต้องเอาการกระทำครั้งนี้ไปสอนลูกหลาน ต้องไม่มีแก้ตัวต่าง ๆ (Make no excuses) ลงมือทำอย่างหนักและเด็ดขาด ไม่มีการออมมือ ไม่ยอมให้มีอุปสรรคหรือการต่อต้านมาขัดขวาง ไม่ประณีประนอม (Take-no-prisoners/uncompromising) ทำทุกอย่างเพื่อให้ประสบความสำเร็จ (In-it-to-win-it-whatever-it-takes)
 
Chapter 3: What is Success?
ผู้เขียนระบุว่าสิ่งสำคัญสำหรับคำว่าความสำเร็จมี 3 ข้อ คือ
1) ความสำเร็จเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ
2) ความสำเร็จเป็นหน้าที่
3) ความสำเร็จไม่เคยขาดแคลน
โดยบทที่ 3 จะเป็นเนื้อหาสั้น ๆ เกี่ยวกับข้อ 1 คือ ความสำเร็จเป็นสิ่งที่มีความสำคัญ คือความสำเร็จมีความหมายในบริบทของการขยายหรือเติบโต คือทั้งสิ่งมีชีวิตรวมถึงบริษัทย่อมต้องมีการเติบโต ความสำเร็จจึงมีความสำคัญในฐานะทำให้มีการเติบโตหรือขยาย ดังนั้นความสำเร็จเป็นเหมือนการผจญภัยไม่ใช่จุดหมาย “Success is a journey, not a destination”
 
Chapter 4: Success is Your Duty
เนื้อหาต่อเนื่องจากบทที่ 3 โดยผู้เขียนระบุว่า ความสำเร็จเป็นประเด็นด้านจริยธรรม (Ethical issue) มันคือ หน้าที่ที่มีต่อครอบครัว บริษัท และอนาคต ดังนั้นเราต้องมีมุมมองต่อความสำเร็จว่า เป็น หน้าที่ สิ่งที่ต้องทำ และเป็นความรับผิดชอบ
 
Chapter 5: There is no Shortage of success
เนื้อหาต่อเนื่องจากบทที่ 3-4 ความสำเร็จไม่มีจำนวนจำกัด เราสามารถสร้างขึ้นมามากเท่าไหร่ก็ได้ การสำเร็จของคนอื่นก็ไม่ได้ลดทอนความสำเร็จของเรา (is not a zero sum game) ความสำเร็จของคนหนึ่งสามารถช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้กับผู้อื่น ทำให้คนอื่นมีแรงกระตุ้นให้ไปสู่ความสำเร็จหรือผลลัพธ์ที่สูงขึ้น
 
Chapter 6: Assume control for Everything
ในบทนี้เขียนเกี่ยวกับความรับผิดชอบ โดยระบุว่า ความสำเร็จไม่ได้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณ แต่เป็นสิ่งที่คุณทำให้เกิดขึ้น ดังนั้นเราต้องเป็นคนรับผิดชอบเนื่องจากเราเป็นคนทำมันนั่นเอง และไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นทั้งสิ่งดีและสิ่งที่ไม่ดีมันเป็นเพราะคุณนั่นเอง อย่าไปโทษคนอื่นหรือสิ่งอื่น คุณเป็นคนทำให้มันเกิดขึ้นเอง อย่าไปตั้งตำแหน่ง (Position) สิ่งที่เกิดขึ้นว่ามันเกิดขึ้นกับเรา แต่มันเกิดขึ้นเพราะเรา แนวคิด 10X Rule คือ เราต้องทำมันอย่างเต็มที่ (มากพอ) ตลอดเวลา เพื่อสร้างสิ่งที่ดีให้เกิดขึ้น เราต้องเพิ่มระดับความรับผิดชอบ และต้องระลึกว่าเราควบคุมสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับเรา และต้องท่องไวเสมอว่า
“ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณโดยบังเอิญ ทุกอย่างเกิดขึ้นเพราะการกระทำของคุณเอง”
 
Chapter 7: Four Degrees of Action
ระดับ (Degree) ของการกระทำในระดับต่าง ๆ แบ่งได้เป็น 4 ระดับ
1) Do nothing กลุ่มนี้ไม่ใช่ไม่ทำอะไรเลย แต่เป็นระดับที่หยุดลงมือทำสิ่งต่างๆ เพื่อพัฒนาตัวเอง ยอมแพ้กับความฝันและยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต ความเบื่อหน่าย ความเฉื่อยชา พึงพอใจในสิ่งที่เป็นอยู่ และขาดจุดมุ่งหมาย คนกลุ่มนี้มักใช้เวลาและพลังงานไปกับการหาเหตุผลมาอธิบายสถานการณ์ของตัวเอง
2) Retreat (หนี/หลีกเลี่ยง) เป็นกลุ่มที่กลัวความสำเร็จ “fear-of-success” เนื่องจากเคยมีประสบการณ์ไม่ดีในการล้มเหลว เลยมีพฤติกรรมหลีกเลี่ยงการกระทำต่างๆ ที่อาจทำให้เกิดเหตุการณ์แบบนั้นอีก การตัดสินใจทำอะไรก็มักเต็มไปด้วยความระมัดระวังเนื่องจากมีความกลัว หรือพยายามหลีกเลี่ยงเพื่อไม่ให้ประสบกับความล้มเหลว กลุ่มนี้ถ้าปรับทัศนคติใหม่ก็สามารถทำให้กลับมามีพลังงานได้อีก
3) Normal (ระดับปกติ) เป็นกลุ่มที่มีความพยายามหรือมีการกระทำในระดับหนึ่งให้ได้ผลลัพธ์ในระดับทั่วไป ที่พออยู่ได้ หรือให้ได้อยู่ในระดับค่าเฉลี่ย (average) เนื่องจากไม่ได้ตั้งเป้าหมายไว้สูง หรือตั้งเป้าหมายเพียงแค่ระดับปกติ ทำให้ไม่ได้ใช้พลังงานมาก กลุ่มนี้มักพบเป็นจำนวนมากให้องค์กร
4) Massive คือระดับในแนวคิด 10X rule เป็นระดับที่ต้องทุ่มเทอย่างหนัก การกระทำในระดับจะทำให้เกิดปัญหาใหม่ ๆ (ถ้าไม่เกิดปัญหา แสดงว่าระดับการกระทำยังไม่ถึงระดับนี้) ระดับของการกระทำไม่ได้หมายถึงว่าเราใช้เวลาในการทำมากเท่าไหร่ในแต่ละวัน แต่เป้นการวัดที่ผลลัพธ์ที่ก้าวกระโดด
 
Chapter 8: Average is a Failing Formula
ในสถานการณ์ที่มีการเปลี่ยนแปลงและการแข่งขันกันอย่างรุนแรง การทำในระดับค่าเฉลี่ยมันไม่สามารถทำให้เราประสบความสำเร็จในระดับสูง การเสพติดค่าเฉลี่ย มันจะทำลายความเป็นไปได้ของการทำความฝันของคุณให้เป็นจริง “Addiction to average” can kill the possibility of making your dreams a reality.
การยอมรับระดับของค่าเฉลี่ยไม่ช้าก็เร็วมันจะทำให้คุณล้มเหลว “Accepting average will fail you sooner or later” ในมุมมองของ 10X Rule เราต้องไม่คิดและทำมากกว่าค่าเฉลี่ย ถ้าเรายอมรับระดับของค่าเฉลี่ยของสิ่งหนึ่งสิ่งใดมันจะทำให้เราล้มเหลว ค่าเฉลี่ยไม่เคยได้รับอะไรที่เกิดกว่าค่าเฉลี่ยและส่วนใหญ่มักจะได้น้อยกว่า “Average never yields anything more than average, and usually much less.”
 
Chapter 9: 10X Goals
คนเรามักต่อต้านการตั้งเป้าหมายที่สูง แต่ถ้าเราล้มเหลวในการตั้งเป้าหมายที่สูงมันก็หมายถึงว่าเราจะไม่ได้ทำอะไรที่ยิ่งใหญ่มากพอ การตั้งเป้าหมายระดับค่าเฉลี่ยหรือและจริงได้ (average and realistic) ไม่สร้างความท้าทายหรือแรงบันดาลใจให้กับคนที่ตั้งเป้าหมายนั้น ส่งผลให้รู้สึกผิดหวังเมื่อบรรลุเป้าหมาย เพราะไม่รู้สึกถึงความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่หรือน่าภาคภูมิใจ การตั้งเป้าหมายที่เล็กจะทำให้เราไม่สนใจมันทุกวัน และสุดท้ายเราก็จะไม่สนใจมัน การตั้งเป้าหมายในระดับค่าเฉลี่ยมันไม่ช่วยกระตุ้นให้เกิดการกระทำแบบทุ่มเท (Massive 10X actions) การตั้งเป้าหมายควรมีการเชื่อมโยงไปยังเป้าหมายอื่นของคุณ เช่น เราต้องการเก็บเงินให้ได้ 10 ล้านบาท ภายใน 5 ปี และนำเงินบางส่วนไปช่วยเหลือเด็กที่ด้อยโอกาส การตั้งเป้าหมายเป็นเครื่องบ่งชี้การประเมินศักยภาพ เราตั้งเป้าหมายต่ำแสดงว่าเราประเมินศักยภาพเราต่ำ ผู้บริหารตั้งเป้าหมายองค์กรต่ำ แสดงว่าผู้บริหารประเมินศักยภาพตนเองและพนักงานต่ำ แนวคิด 10X Rule ไม่ไช่สำหรับทุกคน แต่มันเหมาะสำหรับคนบางคนเท่านั้น ผู้เขียนแนะนำว่า 1) ตั้งเป้าหมายแบบ 10X 2) เชื่อมโยงเป้าหมายนั้นกับเป้าหมายอื่นที่มีคุณค่าของคุณ 3) ให้เขียนเป้าหมายนั้นทุกวัน ตอนตื่นนอนและก่อนคุณจะเข้านอน
Chapter 10: Competition is for Sissies
ในโลกของธุรกิจเราต้องการอยู่ในตำแหน่งเป็นผู้นำตลาด/ครอบงำ (Dominate) ไม่ใช่แค่แข่งขัน (Complete) ถ้ามีคนเคยกล่าวว่าการแข่งขันทำให้มีสุขภาพที่ดี เราควรพูดใหม่ว่า ถ้าการแข่งขันทำให้สุขภาพดี การเป็นผู้นำตลาดก็คือภูมิคุ้มกัน (“If competition is healthy, then domination is immunity!”) การแข่งขันกับคนอื่นจะจำกัดความสามารถในการคิดสร้างสรรค เพราะต้องมองคนอื่นว่าทำอะไรอยู่ตลอดเวลา เราต้องไม่ตั้งเป้าแค่การแข่งขัน แต่เราต้องตั้งเป้าเพื่อเป็นผู้นำตลาด การที่จะเป็นผู้นำตลาดเราต้องทำสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ (Do what they will not do) หรือคนอื่นทำมันไม่ได้ (Something they cannot do) เราอาจดูว่าคู่แข่งทำอะไร ไม่ใช่เพื่อแข่งขัน แต่ต้องเพื่อหาว่าเราจะต้องทำอะไรเพื่อให้เป็นผู้นำตลาด จงหยุดคิดเกี่ยวกับการแข่งขัน มันไม่ใช่เพื่อสุขภาพที่ดี แต่มันสำหรับคนอ่อนแอ “Quit thinking about competing. It's not healthy. It's for sissies.”
 
Chapter 11: Breaking out of the Middle Class
บนนี้เกี่ยวกับผู้ปานกลาง (Middle Class) โดยระบุว่าเราต้องไม่เป็นทาษของระดับปานกลาง (Middle-class slave) เราต้องยกระดับสร้างรายเพื่อตัวเอง ครอบครัว และบริษัท กลุ่มปานกลางมีความหมายมากกว่าระดับรายได้เท่านั้น
 
Chapter 12: Obsession isn't a Disease; It's a Gift
การครอบงำจิตใจ/หมกมุ่น/หลงใหล (Obsession) มีความหมายว่าการควบคุมความคิดหรืออารมณ์โดยความคิด ภาพ หรือ ความปรารถนา คนส่วนใหญ่จะมองคำว่าการครอบงำจิตใจเป็นภาพเชิงลบ การเป็นผู้นำตลาด (Dominate) เราต้องครอบงำความสนใจ ความคิด และครอบงำทุกการพิจารณา
หากต้องการสร้างความสำเร็จระดับ 10X คุณต้องหมกมุ่นกับทุกการกระทำจนกว่ามันจะสำเร็จ คนส่วนใหญ่พยายามเพียงแค่ให้รู้สึกว่าตนทำงานหนัก แต่ผู้ที่ประสบความสำเร็จสูงสุดคือผู้ที่ลงมือทำและติดตามผลด้วยความหมกมุ่น จนกว่าพวกเขาจะได้รับรางวัลจากความพยายามนั้น โดยรู้สึกเสพติดกับการทำให้มันสำเร็จ
ฉันขอแนะนำให้คุณ หมกมุ่นกับสิ่งที่คุณต้องการ เพราะไม่เช่นนั้น คุณจะใช้เวลาทั้งชีวิตไปกับการหมกมุ่นอยู่กับข้ออ้างว่าทำไมคุณถึงไม่ได้ชีวิตที่คุณต้องการ (I suggest that you become obsessed about the things you want; otherwise, you are going to spend a lifetime being obsessed with making up excuses as to why you didn't get the life you wanted.)
 
Chapter 13: Go “All In” and Overcommit
"All in" เป็นศัพท์ในการเล่นไพ่โป๊กเกอร์ หมายถึง การที่ผู้เล่นทุ่มเงินทั้งหมดที่มีในตอนนั้นในการเดิมพันรอบนั้น โดยไม่มีการเก็บเงินไว้เดิมพันในรอบถัดไป ถ้าแพ้ก็จะหมดตัว ในกรณีของ 10X Rule ก็คือการทุ่มหมดทั้งหมดไม่ว่าจะเป็น แรง ความพยายาม ความคิด ซึ่งข้อแตกต่างก็คือต่อให้ไม่ประสบความสำเร็จ สิ่งที่คุณทุ่มลงไปนั้นมันก็ไม่หมด มันสามารถทุ่มอีกครั้งก็ได้ และที่สำคัญคือ จะไม่มีการล้มเหลวจนกว่าคุณจะหยุด "There is no failure unless you quit!"
"Overcommit" หมายถึงการสัญญาในระดับที่สูงมาก เรามักจะถูกบอกว่าให้สัญญาให้ต่ำแต่ทำให้ได้สูง (Undercommit and overdeliver) เช่น จะซ่อมรถเสร็จภายใน 4 วัน แต่สามารถส่งมอบได้ภายใน 3 วัน การที่เราสัญญาในลักษณะที่ Undercommit แสดงว่าเรากลัวความเสี่ยง การที่เราสัญญาในระดับต่ำ มันจะไม่ช่วยกระตุ้นให้เราทุ่มเท ในทางตรงกันข้ามการกล้าที่จะให้คำสัญญาในระดับสูง ถึงแม้ว่ามันจะสร้างปัญหาให้เกิดขึ้นในระหว่างทาง แต่ด้วยความทุ่มเทแบบ All in คุณจะได้ผลตอบแทนที่น่าประหลาดใจ
 
Chapter 14: Expand-Never Contract
การหด (การลด) เป็นรูปแบบหนึ่งของถอยหรือหนี ซึ่งขัดกับ 10X Rule ซึ่งต้องการความทุ่มเทอย่างต่อเนื่องไม่ว่าสถานการณ์จะเป็นอย่างไร เราอาจเคยได้ยินว่าธุรกิจล้มเหลวเพราะขยายตัวเร็วเกินไป ซึ่ีงจริง ๆ ความล้มเหลวไม่ได้มาจากการขยายตัว แต่เกิดจากการที่ไม่เตรียมการกระทำที่เหมาะสม การขยาย (Expand) คือสิ่งที่เราควรจะทำ เช่น ทุ่มเทมากขึ้น หาลูกค้ามากขึ้น คิดมากขึ้น เพราะจะทำให้เราบรรลุเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่
 
Chapter 15: Burn the Place Down
มื่อคุณเริ่มลงมือทำในระดับ 10X และเริ่มเห็นความคืบหน้า คุณต้องเติมฟืนให้กับไฟของคุณต่อไปจนกว่าคุณจะจุดไฟป่า หรือไฟใหญ่ หรือทำลายล้างสถานที่นั้นไปเลย อย่าพัก และอย่าหยุด ทำจนกว่าไม่มีใครสามารถดับไฟของคุณได้ เหมือนเราทำสวน ต่อให้สวนนั้นจะดูเขียวและสวยงาม แต่เราก็ต้องไม่หยุดที่จะเล็มหญ้า ตัดแต่งกิ่ง ไม่เช่นนั้นหญ้ามันก็จะขึ้นมาจนรก และต้นไม้ของคุณก็จะตาย
 
Chapter 16: Fear is the Great Indicator
ความกลัวเกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มทำสิ่งใหม่ๆ ในระดับที่สูงขึ้น หากคุณไม่รู้สึกกลัว แสดงว่าคุณอาจยังไม่ได้ทำสิ่งที่ถูกต้องมากพอ ความกลัวไม่ใช่สิ่งที่ไม่ดีหรือควรหลีกเลี่ยง ตรงกันข้าม มันคือสิ่งที่คุณควรแสวงหาและยอมรับ ความกลัวที่แท้จริงคือสัญญาณว่าคุณกำลังทำสิ่งที่จำเป็นเพื่อเคลื่อนไปในทิศทางที่ถูกต้อง FEAR ย่อมาจาก False Events Appearing Real สิ่งที่เป็นเท็จแต่ดูเหมือนเป็นจริง เช่น เด็กกลัวผี (ผีไม่มีอยู่จริง แต่เหมือนมันเป็นจริง) แทนที่จะใช้ความกลัวเป็นข้ออ้างในการหยุดหรือถอยหลัง เราควรใช้มันเป็นสัญญาณไฟเขียวที่บอกคุณว่าควรทำอะไร
คนเรามักมี "ปีศาจ" (boogeymen) ของตัวเอง เช่น สิ่งที่ไม่รู้จัก การถูกปฏิเสธ ความล้มเหลว ความสำเร็จ และอื่น ๆ "ปีศาจ" ก็เป็นสัญญาณให้คุณลงมือทำเช่นกัน เช่น ถ้าคุณกลัวที่จะโทรหาลูกค้านั่นคือสัญญาณว่าคุณควรโทรหาลูกค้านั้น ความกลัวมักเป็นเครื่องบ่งชี้ว่าสิ่งนั้นสำคัญและคุ้มค่าที่จะทำ การก้าวผ่านความกลัวไม่เพียงช่วยให้คุณเติบโต แต่ยังเปิดประตูสู่โอกาสใหม่ๆ ที่คุณอาจไม่เคยคาดคิด ดังนั้น เมื่อคุณรู้สึกกลัว ให้ใช้มันเป็นแรงผลักดันในการลงมือทำ แทนที่จะปล่อยให้มันหยุดคุณไว้
แนวคิดของ 10X คือ เราต้องทำสิ่งที่คนอื่นไม่กล้าทำ ดังนั้นแทนที่จะมองความกลัวว่าเป็นสัญญาณของการวิ่งหนี แต่มันต้องตัวบ่งชี้ว่าเราไป "Rather than seeing fear as a sign to run, it must become your indicator to go."
เวลาเป็นตัวขับความกลัว ยี่งปล่อยเวลาไว้นานคุณจะกลัวมากขึ้น ดังนั้นเราต้องตัด "เวลา" ออกจากสมการโดย ลงมือทำทันที
 
Chapter 17: The Myth of Time Management
มีคำถามเสมอว่าเราจะจัดการเวลาอย่างไร เราจะสร้างสมดุลเวลาอย่างไร คำแนะนำคือถ้าความสำเร็จมันสำคัญกับคุณมาก คุณก็ควรใช้เวลาส่วนใหญ่กับสิ่งที่จะสร้างให้คุณประสบความสำเร็จ ในความคิดขอผู้เขียนจะไม่สนใจเรื่องการสร้างสมดุลเวลา (Balance) ให้เลิกคิดเรื่องการเลือก (เอาหรือไม่เอา) แต่ให้คิดในมุมของทั้งหมดหรือทุกสิ่ง คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ว่าใช้เวลาไปกับอะไร แต่ยังคงบ่นว่าไม่มีเวลาเพียงพอ คนเรามีเวลาเท่ากัน เราสามารถเพิ่มเวลาให้มากขึ้นโดยการทำสิ่งที่สร้างความสำเร็จให้มากขึ้น
คำแนะนำก็คือ 1) ให้เขียนว่าอะไรสำคัญสำหรับเรา 2) อะไรและความทุ่มเทเท่าไหร่ที่จะนำไปสู่ความสำเร็จนั้น 3) จดบันทึกเวลาที่เราใช้ (แบบละเอียด)
 
Chapter 18: Criticism is a Sign of Success
การได้รับคำวิจารณ์เป็นสัญญาณที่ชัดเจนว่าคุณกำลังมาถูกทางแล้ว คำวิจารณ์ไม่ใช่สิ่งที่คุณควรหลีกเลี่ยง แต่เป็นสิ่งที่จะเกิดขึ้นเมื่อคุณเริ่มประสบความสำเร็จ คำวิจารณ์เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติเมื่อคุณได้รับความสนใจ ซึ่งเป็นเหตุผลที่บางคนพยายามหลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ เพื่อหนีจากการถูกวิจารณ์ คุณไม่มีทางที่คุณจะประสบความสำเร็จอย่างแท้จริงได้โดยไม่ดึงดูดความสนใจ นั่นหมายถึงว่ายังไงคุณก็ต้องได้รับการวิจารณ์ เพราะคนอื่นจ้องมองคุณอยู่ทำ เมื่อคุณประสบความสำเร็จอย่างเด่นชัด คนก็เริ่มหันมาสนใจคุณ บางคนอาจชื่นชม บางคนอาจอิจฉา คำวิจารณ์มักเกิดขึ้นเพราะคนพูดต้องการให้ตัวเองรู้สึกดีขึ้น เพราะความสำเร็จของคุณทำให้พวกเขาตระหนักถึงข้อบกพร่องของตัวเอง
วิธีเดียวที่จะรับมือกับคำวิจารณ์ได้คือ มองว่ามันเป็นองค์ประกอบหนึ่งของสูตรความสำเร็จของคุณ เช่นเดียวกับความกลัว คำวิจารณ์เป็นสัญญาณว่าคุณกำลังก้าวไปในทิศทางที่ถูกต้อง ด้วยปริมาณที่เหมาะสม ได้รับความสนใจมากพอ และสร้างผลกระทบได้อย่างแท้จริง
 
Chapter 19: Customer Satisfaction is th Wrong Target
การบริการลูกค้าเป็นเป้าหมายที่ผิด เป้าหมายที่ถูกคือลูกค้า การสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าไม่ใช่ว่าไม่สำคัญ แต่มันไม่ได้เป็นเป้าหมายหลัก เป้าหมายหลักคือการหาลูกค้า ตัวอย่าง เราต้องหาภรรยาก่อน แล้วค่อยทำให้ภรรยาพอใจ และสร้างให้ครอบครัวเติบโต ดังนั้นอย่าทำอะไรสลับขั้นตอนหรือทำอะไรผิดลำดับ เพราะจะทำให้งานไม่สำเร็จหรือเกิดปัญหาตามมา เสมือนสำนวนที่ว่า "อย่าเอารถเข็นไว้หน้าม้า" (Don't put the cart before the horse) บริษัทที่ล้มเหลวไม่ใช่ขาดคุณภาพของสินค้า บริการ หรือสิ่งที่จะส่งมอบให้ลูกค้า แต่เป็นเพราะมีลูกค้าไม่มากพอ คุณภาพจะไม่เกิดขึ้นถัาไม่มีปริมาณ นั่นคือความหมายของคำว่า ความพึงพอใจของลูกค้าเป็นเป้าหมายที่ผิด
 
Chapter 20: Omnipresence
ความหมายของคำว่า "Omnipresence" คือ การอยู่ทุก ๆ ที่ (ทุกสถานที่ตลอดเวลา) ลองคิดดูว่าถ้าแบรนด์ของเราอยู่ในทุก ๆ มันจะมีพลังมากแค่ไหน แม้ว่ามันจะดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่มันควรเป็นเป้าหมายของคุณ
สิ่งที่ผู้คนพึ่งพามากที่สุดนั้นมีอยู่รอบตัวเสมอ ตั้งแต่ออกซิเจนที่คุณหายใจ น้ำที่คุณดื่ม เชื้อเพลิงที่คุณใช้กับรถยนต์ ไปจนถึงไฟฟ้าที่ไหลเวียนอยู่ในบ้านของคุณ รวมถึงผลิตภัณฑ์ที่มีแบรนด์โดดเด่นที่สุดในโลก สิ่งเหล่านี้มีสิ่งหนึ่งที่เหมือนกันคือ พวกมันเข้าถึงได้ทุกที่ คุณเห็นมันตลอดเวลา พึ่งพามัน และเคยชินกับความจำเป็นต้องใช้มันเกือบทุกวัน
พ่อของฉันเคยกล่าวว่า "ชื่อของคุณสินทรัพย์ที่สำคัญที่สุด คนอาจเอาทุกอย่างไปจากคุณ ยกเว้นชื่อของคุณ" ถ้าคนไม่รู้จักคุณเค้าก็จะไม่สนใจสิ่งที่คุณนำเสนอ ชื่อเสียง แบรนด์ และภาพลักษณ์ของคุณคือทรัพย์สินที่มีค่าที่สุด แต่จะมีค่าได้ก็ต่อเมื่อมีผู้คนจำนวนมากรู้จักและใช้มัน
 
Chapter 21: Excuses
“ข้อแก้ตัว” คือการให้เหตุผลในการทำหรือไม่ทำบางสิ่งบางอย่าง พจนานุกรมอาจหมายถึงมันเป็น “เหตุผล” แต่ในความเป็นจริง ข้อแก้ตัวมักจะเป็นสิ่งอื่นที่ไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง เช่น ถ้าคุณแก้ตัวว่า มาทำงานสายเพราะรถติด มันไม่ใช่เหตุผลที่แท้จริง ความจริงคือคุณออกจากบ้านโดยไม่เผื่อเวลาสำหรับรถติด ข้อแก้ตัวไม่ช่วยให้อะไรดีขึ้น
เราต้องเข้าใจความแตกต่างระหว่างการแก้ตัวและเหตุผลที่แท้จริง ผู้ที่ประสบความสำเร็จไม่มีข้อแก้ตัว โดยเฉพาะเมื่อล้มเหลว ไม่มีข้อแก้ตัวไหนที่จะเปลี่ยนข้อเท็จจริงหรือสถานการณ์เหล่านี้ได้ เหมือนที่กล่าวไว้แล้วว่า "ไม่มีอะไรเกิดขึ้นกับคุณ; มันเกิดขึ้นเพราะคุณ" ข้อแก้ตัวจึงเป็นตัวแยกที่สำคัญระหว่างการประสบความสำเร็จหรือไม่ประสบความสำเร็จ เมื่อคุณเริ่มรับผิดชอบในระดับที่สูงขึ้นและปฏิเสธที่จะใช้ข้อแก้ตัวอีกต่อไป คุณก็จะสามารถออกไปและค้นหาวิธีแก้ไขปัญหาได้ "ถ้ามันจะเกิดขึ้น มันขึ้นอยู่กับฉัน" (If it is to be, it is up to me.") หากต้องการให้บางสิ่งเกิดขึ้น เราต้องลงมือทำเอง ไม่รอให้โชคชะตาหรือคนอื่นมาจัดการให้
 
Chapter 22: Sucessful or Unsuccessful?
บทนี้ผู้เขียนนำเสนอพฤติกรรม/แนวคิดที่สร้างความแตกต่างระหว่างคนที่ประสบความสำเร็จกับผู้ไม่ประสบความสำเร็จ รวมทั้งสิ้น 32 ข้อ ดังนี้ครับ
1) Have a “Can Do” Attitude 2) Believe that “I Will Figure It Out” 3) Focus on Opportunity 4) Love Challenges 5) Seek to Solve Problems 6) Persist until Successful 7) Take Risks 8) Be Unreasonable 9) Be Dangerous 10) Create Wealth 11) Readily Take Action 12) Always Say “Yes” 13) Habitually Commit 14) Go All the Way 15) Focus on “Now” 16) Demonstrate Courage 17) Embrace Change 18) Determine and Take the Right Approach 19) Break Traditional Ideas 20) Be Goal-Oriented 21) Be on a Mission 22) Have a High Level of Motivation 23) Be Interested in Results 24) Have Big Goals and Dreams 25) Create Your Own Reality 26) Commit First-Figure Out Later 27) Be Highly Ethical 28) Be Interested in the Group 29) Be Dedicated to Continuous Learning 30) Be Uncomfortable 31) “Reach Up” in Relationships 32) Be isciplined
 
Chapter 23: Getting Started with 10X
บทนี้ผู้เขียนเล่าถึงประสบการณ์ของตัวเองเป็นส่วนใหญ่ อย่างไรก็ดีมีประเด็นที่น่าสนใจดังนี้ครับ
การที่คุณจะประสบความสำเร็จ คุณต้องมุ่งไปที่ปัจจุบัน (ตอนนี้) ขณะเดียวกันก็ให้ความใส่ใจในอนาคตที่คุณต้องการสร้าง "ตอนนี้" หมายถึงตอนนี้ ไม่ใช่อีกหนึ่งนาทีต่อจากนี้!

เริ่มต้นด้วยสิ่งที่สำคัญที่สุดก่อน คือ เขียนรายการเป้าหมายของคุณ สร้างรายการของการกระทำ ที่จะพาคุณไปสู่เป้าหมายนั้น และลงมือทำทันที อย่าคิดเยอะเกินไป
ข้อควรจำเมื่อลงมือทำ:
1) อย่าลดขนาดเป้าหมายของคุณ ในขณะที่เขียนมันลงไป
2) อย่าติดอยู่กับรายละเอียดมากเกินไป ว่าจะทำให้สำเร็จได้อย่างไร ณ จุดนี้
3) ถามตัวเองว่า "วันนี้ฉันสามารถทำอะไรได้บ้างที่จะพาฉันเข้าใกล้เป้าหมาย?"
4) ลงมือทำทุกอย่างที่คิดออก ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรหรือว่าคุณจะรู้สึกอย่างไร
5) อย่าตัดสินผลลัพธ์เร็วเกินไป จงโฟกัสที่การลงมือทำ
6) ทบทวนรายการของคุณทุกวัน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณกำลังก้าวไปข้างหน้า

อย่ารอ! ความสำเร็จเป็นของคนที่ลงมือทำตอนนี้ ไม่ใช่พรุ่งนี้!

ขอเลือกที่จะทุ่มเทให้กับความฝันและเป้าหมายแล้วผิดหวัง ดีกว่าไม่เคยลองเลยแล้วต้องผิดหวังตลอดชีวิต
ฉันมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แล้ว แต่ไม่มีเบาะแสเลยว่าจะทำมันได้อย่างไร
แต่ฉันรู้ดีว่า ถ้าฉันหยุดคิดหาว่า "จะทำอย่างไร" ก่อนที่จะตัดสินใจลงมือทำ ฉันก็คงไม่ได้เริ่มต้นเลย และที่แย่ไปกว่านั้น ฉันอาจตัดสินใจไปเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก
 
ฉันมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่แล้ว แต่ไม่มีเบาะแสเลยว่าจะทำมันได้อย่างไร
แต่ฉันรู้ดีว่า ถ้าฉันหยุดคิดหาว่า "จะทำอย่างไร" ก่อนที่จะมุ่งมั่นต่อเป้าหมาย
ฉันก็คงไม่ได้เริ่มต้นเลย และที่แย่ไปกว่านั้น ฉันอาจตัดสินใจไปเลยว่ามันเป็นไปไม่ได้ตั้งแต่แรก

I had my new, considerable goal in place but no clue as to how to accomplish it. I know, however, that had I stopped and tried to figure out “how” to do this before I committed to making it my goal,I never would have gotten started.
I probably would have decided immediately that it was impossible.
 
ที่สำคัญคือ… ตอนนั้นฉันยังไม่รู้เลยว่าจะทำสิ่งเหล่านี้ได้อย่างไร
และฉันก็ไม่ได้พยายามคิดหาคำตอบทั้งหมดในขั้นตอนแรกนี้ด้วย
เพราะฉันรู้ดีว่าถ้าหมกมุ่นอยู่กับคำถาม “จะทำได้ยังไง?” หรือ “มันเป็นไปได้จริงหรือ?”
ฉันอาจเสียสมาธิและล้มเลิกไปก่อน
ดังนั้น ฉันจึงเลือกที่จะโฟกัสไปที่เป้าหมาย และเริ่มลงมือทำทันที
 
I didn't know how to do any of this at this point, nor did I want to figure it out during these early steps.I know I would only become derailed by the “how tos”
and the “cannots,” and I just wanted to focus on hitting my target.
 
My Opinion
หนังสือเล่มนี้เป็นเล่มหนึ่งที่ให้แนวคิดดี ๆ มากกมาย เต็มไปด้วยประโยคทอง ที่สำคัญคือไม่ใช่บอกให้ตั้งเป้าหมายแบบ 10X อย่างเดียว แต่มุ่งให้ทำแบบ 10X ด้วย จะติดก็แต่ว่าหนังสือไม่มีโครงสร้างและไม่มีรูปประกอบเลยซักรูปเดียว (จริง ๆ น่าจะเขียนเป็น Model) เมื่อเทียบกับเวลาที่ใช้ไปในการอ่านกับประโยชน์ที่ได้ เล่มนี้ผมให้ 4 ดาวครับ
 
  
 
Reviewed by รศ. ดร. วุฒิ สุขเจริญ Contact Me:  bestofsiam@hotmail.com